ต้นทุนการผลิตสินค้า
ซึ่งตรงนี้เราคงจะพูดถึงกระบวนการผิตเป็นส่วนมากเพราะต้นทุนตรงนี้จะเริ่มเกิดตั้งแต่ คุณเริ่มสั่งซื้อวัตถุดิบ และนำวัตถูดิบมาแปรรูปเป็นสินค้า และนำสินค้านั้นเข้าสู่การบรรจุหีบห่อ ซึ่งการประเมินนี้ สามารถดูได้จากบัญชีทันที
ราคาของคู่แข่งขัน
อันนี้ผมขอแนะนำให้เราเอามาเป็นเกณฑ์เท่านั้นนะครับ ซึ่งตรงนี้แค่เอามาเปรียบเทียบครับ ไม่ใช่เอามาเป็นตัวกำหนดราคา ลองนึกดูง่าย ๆ นะครับ ถ้าสินค้าเราดีมากกว่าคู่แข่งขัน และเราสามารถทำให้ลูกค้าชอบใจในสินค้าเรา หรือทำให้ลูกค้า เห็นว่าสินค้าเราดีกว่าคู่แข่งขัน การตั้งราคาเราก็สามารถที่จะ ตั้งราคาให้สูงกว่าคู่แข่งขันได้ทันที แต่ถ้าหากว่า สินค้ามีคุณภาพ มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน แถมเพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดอีก ก็ลองดูว่าควรจะตั้งราคาที่เทียบเท่า หรือถูกกว่า(เป็นช่วงโปรโมชั่น) ได้หรือไม่และจะมีผลอย่างไรกับธุรกิจ
ค่าดำเนินการต่างๆ
อันนี้ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน สินค้าบางตัวมีค่าการดำเนินงานเบ็ตเสร็จแพงมากว่าต้นทุนสินค้าหลายเท่าตัว(ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น)นั่นก็ เพราะเจ้าค่าดำเนินการนี้จะมีผลมากที่สินค้าคุณจะขายได้หรือไม่ เช่น ค่าโฆษณา ค่าฝากขาย ค่าจัดส่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ และดำเนินการ หรือค่าธรรมเนียมบัตรเครติดก็ตาม(ชึ่งอย่างน้อยก็คงสัก 3-5 เปอร์เซ็นของราคาสินค้า)ซึ่งล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้ราคาสินค้าขั้นสุดท้ายสูงขึ้นจากเดิม และอาจสูงขึ้นหลายเท่าเลยก็เป็นไปได้เช่นกันครับ
มองจากปัจจัยที่เราเอามาคิดในการตั้งราคาแล้วก็วุ่นวาย และก็น่าหนักในไม่น้อยเช่นกัน แต่ทั้งนี้นักการตลาดที่ชาญฉลาดก็ต้องมีเทคนิคที่ดีเช่นกันครับ นั่นคือ ค่าใช้จ่ายบางตัวอาจไม่เกิดขึ้นกับการขายสินค้า ในระบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่าสถานที่ ค่าพนักงานขาย ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบการขายสินค้าปกติ เพราะงั้นการที่เราไม่เกิดค่าใช้จ่ายพวกนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันอาจทำใหคุณตั้งราคาสินค้าได้ถูกกว่าท้องตลาดได้มากเลยทีเดียว
อีกอย่างถ้าคุณสามารถผสานด้านการขายกับการผลิตให้เป็นระบบเดียวกันคุณก็สามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายลงได้อีกมากพอสมควร เพราะอย่างน้อย คุณอาจไม่จำเป็นต้องมี สต๊อกสินค้าเป็นจำนวนมาก เพราะ สิ่งที่คุณต้องทำในระบบนี้ก็มีเพียว ลองทำ สินค้าตัวอย่างขึ้นมา แล้วประชาสัมพันธ์ให้คนเข้ามาดู หากสนใจจึงค่อยผลิต โดยวิธีการเหล่านี้ก็ช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบได้มาก และเมื่อผลิตแล้วก็สามารถสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด แต่ทั้งนี้ในการบริหารการผลิตในระบบนี้คุณก็ต้องมีระบบการผลิตที่รวดเร็วทันต่อการสั่งซื้อด้วยเช่นกัน ดั้งนั้นจากค่าใช้จ่าย 2 ประเภทหลักที่คุณสามารถลดลงไปได้คุณก็จะเห็นว่า ค่าสินค้าคุณยังลดได้อีกเช่นกันใช่ไหมครับ
แต่ก็อย่าเพิ่งแน่ใจครับ เพราะว่ามนุษย์มักจะมีความลังเล และไม่แน่ใจเสมอ อีกทั้งตัวเลือกที่เกิดขึ้นให้เห็นอีกเพียบ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องคิดมันคือ ค่าขนส่งครับ ยกเว้นสินค้าในบางกลุ่มที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เช่น ซอฟต์แวร์ ซึ่งเมื่อผู้ซื้อชำระเงินเสร็จแล้วก็สามารถดาวน์โหลดได้ทันที-ไม่ต้องมีค่า ขนส่งดังนั้นเมื่อสินค้าเราไม่สามารถทำได้แบบนี้ ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายค่าขนส่งอยู่ดี และยิ่งผู้ประกอบการบางรายที่คิดจะทำการค้าขายในต่างประเทศ หากตั้งราคาสินค้า 10 เหรียญ แต่เมื่อรวมค่าส่ง 20 เหรียญแล้ว ผู้ซื้ออาจจะลังเลไม่ซื้อสินค้านั้นก็ได้ ดังจะเห็นได้ว่ามีลูกค้าบางรายที่เข้ามาจะสั่งซื้อสินค้าและก็เลิกไปกลางคัน นั่นก็มีผลจากเรื่องนี้เช่นกัน
ดังนั้นในการตั้งราคาผมขอเสนอแนวทางง่าย ๆ 2 แนวทางให้ทำความเข้าใจในเบื้อต้น (ที่จริงผมมีเทคนิคอีกพอสมควร แต่ขอนำเสนอในคราวหน้านะครับ)
1. คิดราคาค่าขนส่งรวมกับราคาสินค้า
โดย หาค่าเฉลี่ยของค่าขนส่งกลุ่มเป้าหมายปลายทาง แล้วบวกรวมกับค่าสินค้า ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ โดยแง่นี้ลูกค้าก็จะไม่รู้ค่าขนส่ง เมื่อประมาณราคาสินค้าว่าเหมาะสมกับมูลค่าที่ตนยินยอมจ่ายแล้ว เขาก็จะตัดสินใจซื้อ ซึ่งวิธีการนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากพอสมควรดังจะเห็นว่ามีเว็บไซต์บางเว็บไซต์ที่มักจะขายสินค้าและระบุว่า ฟรีค่าจัดส่ง ซึ่ง เว็บไซต์ดังกล่าว ล้วนแต่ตั้งราคาสินค้าด้วยวิธีนี้ทั้งสิน
2. คิดราคาค่าขนส่งแยกกับราคาสินค้า
ที่จริงวิธีนี้ก็สร้างความเป็นธรรมให้กับลูกค้าไม่น้อยนั่นก็เพราะ ถ้าคุณมีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าลูกค้าที่สั่งอยู่ในกรุงเทพฯเช่นกัน ค่าขนส่งก็จะน้อย ตามระยะทาง แต่ในทางกลับกัน หากลูกค้าอยู่เชียงใหม่ ค่าขนส่งก็จะแพงขึ้น ซึ่งรงนี้จะดีก็ต่อเมื่อสินค้าคุณมีน้ำหนักไม่มากนัก ค่าขนส่งต่ำ แต่ในทางกลับกันหากลูกค้าของคุณ อยู่ต่างประเทศผมรับประกันเลยครับว่าเขาลังเลแน่นอนบางทีเขาอาจจะตัดสินใจไม่ซื้อสินค้าของคุณด้วยซ้ำ เพราะว่าค่าขนส่งจะดูแพงมากสำหรับเขานั่นเอง
แต่หลังจากที่ตั้งราคาได้แล้ว ก็อย่าลืมนะครับว่าสินค้าในอินเตอร์เน็ตมีมากมายให้เลือกซื้อ ดังนั้นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกันดังที่ผมได้พูดไปแล้วในข้อ ที่เกี่ยวกับราคาของคู่แข่งแต่ที่เข้ามาย้ำอีกทีก็เพื่อไม่ให้พลาดครับ ดังนั้น ท่านใดที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจก็ลองไปนอนนึกลองตั้งราคาดูนะครับ ว่าราคาสินค้าของท่านจะเท่าใด และว่าง ๆ ผมจะเอาวิธีการทางเศรษศาสตร์มานำเสนอกันนะครับ
เลือกหมวดหมู่ย่อยที่ต้องการอ่าน
All
คอมพิวเตอร์
Affiliate
Artisteer
Blog
Blogger
Browser
Cloud Computing
Computer
Design
Drop Shipping
E Bussiness
E Commerce
E Mail Marketing
E Maketing
E Marketing
Facebook
Fan Page
Gadget
Google Adsense
Google Buzz
Google Docs
Google Readder
Internet
Linkedin
M Commerce
Mlm
M Marketing
Ranking
Seo
Smo
Social Gadget
Social Media
Social Network
Software
Twitter
Viral Marketing
Website
Youtube