คราวนี้มาดูดอกไม้ริมทาง สวย ๆ กันบ้างครับ นึกถึงสมัยเด็กที่ผมเห็นต้นเอื้งงหมายนาใหม่ ๆ เหนแล้วนึกชอบมาก และก็เคยนำมาปลูกด้วยซ้ำ แต่ปรากฏว่าต้นมันสูงมากทีเดียว ก็เลยเอาไว้ไม่ได้ครับ แต่ไม่ไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ไปเยี่ยมคุณพ่อที่สวนก็ได้ไปเห็นอีก็ยังนึกชอบอยู่เหมือนเดิมครับ ก็เลยเอาเอื้องหมายนาดอกสวยมาให้ได้ทำความรู้จักกันครับ
0 Comments
วันนี้มาพูดถึงดอกไม้กันบ้างนะครับ มาดูเรื่องสบาย ๆ กันบ้าง กับช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้สิ่งที่ผมนึกถึงงเสมอนั่นคือดอกไม้ก้เลยยจะขอนำเสนอดอกไม้พื้นบ้านกันบ้างนะครับ ท่านผู้อ่านจะได้ผ่อนคลายกันบ้าง และในวันนี้ก็เริ่มต้นด้วยดอกไม้รูปร่าง แปลก ๆ รูปร่างเหนือนนกแก้วกันบ้าง ผมเคยนำเสนอดอกบุกยักษ์ อย่างตอกติตันออรัมน์ไปแล้ว และก็นำเสนอ ดอกบุกคางคกของไทยไปแล้ว วันนี้มาดูบุกจากต่างประเทศอีกสายพันธุ์หนึ่ง ที่ผมมองว่าน่าสนใจไม่แพ้กันเลย เพราะดอกมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นพืชที่หายากมาก ๆ ด้วย หายากแค่ไหน ผมไม่อาจบอกได้ แต่ที่แน่นอนมีหลายคนบอกว่ามันติดโผอันดับของของพืชที่หายากที่สุดในโลกเพราะงั้น ไหน ๆ เราก็อยู่บนโลกไซเบอร์แล้ว อยากรู้อะไรก็รู้ได้ อยากเห็นอะไรก็ได้เห็นกับต้นไม้ที่หายาก และใกล้สูญพันธุ์อย่างน้เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไงต่างจากดอกบุกบ้ายเรามาแค่ไหร เอาล่ะ เรามาทำความรู้จักกับเจ้าดอกบุกชนิดนี้กันเลยครับ เสน่ห์ สีสันแห่งป่า หลายคงคงเคยได้ยินกันมาบ้างสำหรับลิ้นมังกร สำหรับนักเดินป่า และ ผู้ที่ชื่นชอบกล้วยไม้ก็คงรู้จักกันดี คงไม่ต้องบอกเลยทีเดียวแต่สำหรับบางคนลิ้นมังกรอาจเป็นพืชที่หาดูได้ยากมากเลยทีเดียว เพราะอาจพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ลิ้นมังกร หรือปัดแตง เป็นกล้วยไม้ดินมีชื่อเป็นทางการว่า Habenaria rhodocheila Hance เป็นที่ชื่นชอบมากสำหรับนักเดินป่าและนักสะสมกล้วยไม้ทั้งหลาย ว่านค้างคาว ดอกไม้สีดำหลายท่านคงได้ยินเกี่ยวกับดอกไม้สีดำกันมามากมาย หลายท่านอาจจะเคยเห็นมาแล้ว แต่กับอีกหลายท่านอาจยังไม่เยเห็นดอกไม้ที่มีสีดำจริง ๆ เพราะปกติดอกไม้สีดำ พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งถ้าพูดถึงดอกไม้สีดำ หลายท่านอาจรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ด้วยซ้ำหรือหลายท่านอาจคิดว่า มันไม่มีอยู่จริง เพราะโดยทั่วไปหลายท่านคงได้เห็นดอกกุหลาบสีดำ กันมามากมาย แต่นั่นเป็นการย้อมสีทั้งสิ้น เพราะในความเป็นจริง ดอกไม้ที่มีสีดำ มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่เป็นที่รู้จัก ก็คือ ว่านค้างคาว และ ดอกหน้าวัวดำ ซึ้งทั้ง 2 ดอกรู้จักกันในวงการไม้ปประดับมากมาย แต่อายังไม่รู้จักกันในหมู่คนทั่วไป ดังนั้นวันี้ผมขอเอาว่านค้างคาวมานำเสนอกัน เพื่อให้ได้รู้จักกัน กับดอกไม้สีดำ เมื่อหลายวันก่อนผมเจอดอกไ้ม้ชนิดหนึ่งโดยบังเอิญ ผมเห็นว่ามันสวยดีมาก ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะยืนดุ อย่างตั้งใจ ครั้งนั้นผมไม่มีข้อมูลมากนัก ผมก็เลยเก็บรูปมาถามหลาย ๆ คน ไปค้นคว้ามา ด้วยความสนใจ ได้ทราบชื่อว่ามันเรียกว่า ต้นแคฝรั่ง ซึ่งมันไม่ใช่ สายพันธู์ใกล้เคียงกับแครไทยแน่นอนครับ เพราะเท่าที่ดูมันไม่เหมือนเลย มีเพียงดอกที่มีลักษณะคล้าย ส่วนมากถ้าพูดถึงแคเราคงนึกถึงดอกไม้ที่นำมาประกอบอาหาร ได้ ที่มีลักษณะ คล้าย ๆ กัน นั้นคือ แคขาวและแคแดงซึ่งเป็นไม้ไทยแท้ ๆ ที่เรานำมา แกงส้ม แกงเรียง หรือจะเป็นต้มจิ้มน้ำพริกอะไรประมาณนั้น แต่แครฝรั่งต้นนี้ ไม่เห็นมีใครไปเก็บมากินเลย แปลกดีแฮะ ผมทราบมาว่า เป็นไม้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย มาเลเซีย และมีเขตกระจายพันธุ์ไปยังประเทศในแถบอเมริกาใต้ เม็กซิโก โคลอมเบีย เวเนซุเอลา และประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน ช่วงนี้พอมีเวลาว่างเลยนำเสนอข้อมูลผ่านบล็อกได้บ่อย ๆ บางทีวันหนึ่งอาจนำเสนอหลายเรื่อง ก็ลองอ่านย้อนหลังกันเอานะครับ ในช่วงนี้ เรียกว่ามีอะไรต่อมิอะไรที่น่าสนใจเรียกว่าเอามานำเสนอได้หมด ร้อย ทั้ง ร้อยเลยทีเดียว หลังจกที่นำเสนอเกี่ยวกับต้อนไม้ มาบ้าง หลายชนิดวันนี้ก็นำเสนอเหมือนกัน ถ้าเห็นการนำเสนอต้อนไม้แต่ละชนิดจะเห็นว่ามันไม่ธรรมดา เลยทีเดียว วันนี้ก็เช่นกันดอกไม้ที่ผมจะเอามาฝาก ก็ไม่ธรรมอีกเช่นกัน เพราะดอกไม้ที่ผมจะพูดถึงมันคือดอกบัวผุด ดอกบังผุด หลายคนอาจเคยเห็นเคยสัมผัสมาแล้ว และอีกหลายคนอาจเคยได้ยินชื่ออยู่บ่อย ๆ แต่อาจยังไม่เคยเห็นมันและอีกหลายคนอาจยังไม่เคยเห็นมันเลย หรืออาจไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แต่ในกลุ่มคนที่รักธรรมชาติดอกบัวผุดถือเ็ป็นดอกไม้ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะว่าดอกบัวผุด มีชื่อเสียงว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จึงมีความหมานมากกับนักเดินทาง นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเห็น ดอกบัวผุดเป็นดอกไม้ทีหายากมากเพราะเป็นดอกไม้ที่มีวงจรชีวิตแตกต่าง จากดอกไม้ทั่วไป และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดอกบัวผุดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็อย่างมาก บัวผุด (ชื่อวิทยาศาสตร์:Rafflesia kerri Meijer) เป็นกาฝากชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บนรากของพืชจำพวกเถาองุ่นป่า (Tetrastigma) ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ย่านไก่ต้ม มีลักษณะเด่นที่ดอกซึ่งเป็นดอกเดียวขึ้นจากพื้นดินมีขนาดใหญ่ มีกลิ่นเหม็นมาก ให้เห็นระหว่างฤดูฝน ระหว่างพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคมดอกตูมอยู่จะคล้ายกับหม้อขนาดใหญ่มีกลีบหนาจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 70-80 เซนติเมตร ที่โคนของดอกมีกลีบนำสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ภายในดอกจะมีแผ่นแบนคล้ายจาน ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง ดอกจะบานอยู่ได้เพียง 4-5 วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ดำเน่าไป ดอกบัวผุดพบใน อำเภอพนม บนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก ในจังหวัดสุราษฎ์ธานี ซึงเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี วงจรชีวิต ของบัวผุด บัวผุด เป็นพืชป่าฝนเขตร้อนที่มีระบบวงจรชีวิตที่เปราะบาง เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง เนื่องจากต้องอาศัยเงื่อนไขเฉพาะหลายประการในการแพร่พันธุ์ นอกจากนั้นโอกาสที่จะติดเป็นผลหลังการผสมเกสร มีไม่เกินร้อยละ 20 เงื่อนไขที่ 1 ดอกตัวผู้กับดอกตัวเมีย จะต้องบานพร้อมกัน และบานอยู่ไม่ห่างกันนัก มันจะปล่อยกลิ่นคล้ายซากเน่าออกมาล่อแมลงวันหัวเขียว ซึ่งเป็นแมลงชนิดเดียวที่ทำหน้าที่ผสมพันธุ์ให้บัวผุด จากนั้นดอกก็จะเหี่ยวแห้งไป เงื่อนไขที่ 2 สัตว์ป่าที่ช่วยผสมพันธุ์ คือ กระแต มันจะกินผลบัวผุดที่แก่จัด เมล็ดจากผลบัวผุดที่มีขนาดเล็กเท่าเส้นด้าย อาจติดตามเล็บของมัน การแพร่พันธุ์จะเกิดขึ้นเมื่อกระแตใช้เล็บ (ที่มีเมล็ดติดอยู่) ไปตะกุยบนผิวย่านไก่ต้ม ในตำแหน่งที่พอเหมาะ คือ ต้องเจาะเข้าไปในท่อน้ำเลี้ยงของย่านไก่ต้มเท่านั้น เงื่อนไขที่ 3 เถาย่านไก่ต้ม เป็นตัวอิงอาศัย (host) ชนิดเดียวของบัวผุด โดยที่บัวผุดจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากท่อน้ำเลี้ยงของย่านไก่ต้ม การบานของดอกบัวผุดเกิดจากแรงดันของน้ำที่อยู่ในเถาย่านไก่ต้มนั่นเอง และหากดูจากวงจรชีวิตข้างต้นจะเห็นได้ว่าดอกบัวผุดมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะต้องอาศํยต้นไม้อื่นรวมไปถึง สภาพที่เหมมาะสมในการดำรงค์ชีวิตและนั่นเองที่ทำให้ดอกบัวผุดเป็นดอกไม้หา ยากพบได้เฉพาะพื้นที่ที่ อุดมสมบูรณ์บางแห่งเท่านั้น เอาล่ะครับ ผมเคยนำเสนอในเรื่องของดอก บัวผุดไปแล้ว และก็นำเสนอดอกบุกยักา์ และก็ยังนำเสนอดอกบุกไปอีก วันนี้ก็ยังอยากนำเสนอกอดไม้ใหญ่ ๆ เหมือนเดิมครับ แต่จะเปลี่ยนมาเป็นดอกอุตพิษ ดอกอุตพิษ เป็นดอกไม้อีกชนิดที่มีขนาดใหญ่ ๆ อีกดอก เรียกว่าถ้าได้เห็นหลายคงคงจะเห็นเหมือนกันว่ามันใหญ่มาก ๆ แต่ขอบอกว่า แต่ละต้นกลิ่น สุดยอด เอ้า..เรามารู้จักข้อมูลคร่าว ๆ กันก่อน ชื่ออื่นๆ : มะโหรา (จันทบุรี) , บอนแก้ว (เชียงใหม่) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typhonium trilobatum Schott. วงศ์ : ARACEAE ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน หัวจะเล็กเป็นรูปเกือบจะกลม วัดผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ ๑.๒ ซม. ใบ : จะมีลักษณะเป็นแฉกกลางรูปไข่ปลายแหลม ใบเป็นสีเขียวมีลาย หรือจุดประสีม่วง ก้านใบมีความยาวประมาณ ๓๗.๕ ซม. ใบจะเป็นหยัก ๓ แฉก มีความกว้างและยาวประมาณ ๒๕-๓๐ ซม. ดอก : จะออกเป็นช่อ เป็นแท่งยาว ช่อดอกมีกาบหุ้มยาวประมาณ ๒๓ ซม. กาบจะกว้างประมาณ ๗.๕ ซม. ก้านช่อดอกจะเป็นสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือสีแดงเข้ม ดอกเพศเมียจะอยู่ตรงโคนแท่ง เหนืออกเพศเมียจะเป็นดอกฝ่อ เป็นสีขาวถัดไปเป็นที่ว่าง เหนือที่ว่างนั้นจะเป็นดอกเพศผู้ เป็นสีชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีกลิ่นเหม็น ผล : ผลสดจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ภายในจะมีเมล็ดอยู่ การขยายพันธุ์ : โดยการแยกหน่อ ส่วนที่ใช้ : หัว กาบ ก้านใบ และราก ใช้เป็นยา สรรพคุณ : - หัว ใช้เป็นยากัดเถาดานในท้อง กัดฝ้าหนองสมานแผลหรือใช้หุงเป็นน้ำมันใส่แผล และใช้ปิ้งไฟใช้กินได้ - กาบ นำไปหั่นให้ละเอียด ใช้ดองกินเป็นอาหารผักได้ - ก้านใบ ลอกเปลือกออกใช้แกงส้มแบบเดียวกับแกงบอนได้ - ราก จะมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้กินกับกล้วยรักษาโรคปวดท้อง หรือใช้ทาภายนอกและกินรักษาพิษงูกัดได้ ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน ของทวีปเอเชีย มักพบขึ้นทั่ว ๆ ไป ตามที่ร่มเย็น พอดีนำเสนเื่องดอกบุกยังกหรือดอกติตันออรัมไป พอดีเผลอไปเขียนไว้บันทัดหนึ่งสั้น ๆ บอกไปว่า คล้ายดอกบุกไทย เลยมีคำถามออกมาทันควันเลยบอกว่าไอ้ดอกบุกของไทยนี่มันเป็นอย่าางไง ใหญ่แค่ไหน สวยหรือเปล่าก้เลยขอนำเสนอเลยตรงนี้เอาแบบทันทีทันใดเลยเลยแล้วกันครับ ถ้าไปเปิดดูในพจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน เขาก็จะบอกว่า ดอกบุคคือ โรคมะเร็งชนิดหนึ่ง แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะนี่ เอ้า ช่างมัน เอาเป็นว่าเข้าใจแบบผมดีกว่าดอกบุก เป็นดอกไม้ป่า ธรรมชาติ มีขนาดค่อนข้างใหญ๋ สีเหลืองจนถึงสีแดงสดขนาดใหญ่เล็กตามสายพันธุ์ บางชนิดรับประทานได้ ลักษณะ เป็นไม้ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ใบแยกแขนงออกได้หลายชั้น ดอกส่วนมากมีกลีบเดียว แต่จะมีขนาดใหญ่ มีเกษรขึ้นตรงกลาง และสุดท้าย เกษรนี้จะกลายเป็นฝัก ถ้านึกภาพ ผมก็จะบอกว่า มันก็ดูเหมือนฝักข้าวโพดนั่นเหละครับ ส่วนมากจะเริ่มเห็นดอกได้ตั้งแต่ต้นฤดูฝน และลักษณะเพาะอีกอย่างคือ ดอกบุกจะพักตัวในฤดูแล้งครับ และจะแตกขึ้นมาใหม่ในฤดูฝน และในช่วงที่เริ่มแตกหน่อออกใบขึ้นมา บุกหลายชนิดจะมีดอกขึ้นมาก่อน และในหลายชนิด รับประทานได้เช่น บุกแฝก บุกฟ้าร้อง บุกนาค บุคกลุ่มเป็นต้น แลละบุกอีกหลายชนิดรับประทานไม่ได้ ในส่วนของบุกเท่าที่เห็นรู้สึกว่าบุกคางคกจะใหญ่ที่สุด แต่บุกฟ้าร้องจะเล็กที่สุด แต่ทั้งนี้วัดด้วยสิ่งเคยเห็น ไม่รู้ว่าจะแน่นอนแค่ไหน เอาเป็นว่าผมเห็นมาแบบนั้นก็แล้วกัน คราวที่แล้วผมเคยนำเสนอดอกบัวผุด ที่เป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยวันนี้ผมจะมานำเสนอ ถึงดอกไม้ที่ใหญ่กว่านั้นคือ ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกพอดีมีเวลาว่าง ๆ เปิดเน็ตไปเปิดเน็ตมาเลยเข้าไปอ่านเว็บไซด์ต้นไม้ของต่างประเทศเข้าไป อ่านกระทู้ อ่านไปอ่านมาเลยนึกขึ้นได้ถึงดอกติตันออรัมเลยคิดว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามานำ เสนอในบล็อกนี้ให้เพื่อน ๆ ได้อานกัน ที่จริงถ้าพูดถึงดอกติตันออรัมหลายคนคงเคยได้อ่านกันมาบ้าง ที่จรงมันก็คือดอกไม้ที่ใกล้เครียงกับดอกบุกในเมืองไทยนี่เอง ลักษณะโดยรวมค่อนข้างเหมือนแต่ที่จะต่างออกไปก็คงเป็นขนาด ที่ใหญ่แบบมหิมาของมันเท่านั้นเอง ดอกติตันออรัมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Amorphophallus titanum ชื่อวิทยาศาสตร์แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า ต้น “ลึงค์ยักษ์แปลง” คือแปลงกายให้เหมือนลึงค์แต่ไม่ใช่ลึงค์ เป็นพืชในเขตป่าร้อนชื้น พบขึ้นอยู่บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ( Indonesia ) ลำพัง ตัวช่อดอกแทงยอดตั้งขึ้นไปกว่า 3 เมตร จึงพืชสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์บางชนิด ขณะเดียวกัน กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่หึ่งไปทั่ว กลับเย้ายวนแมลงบางชนิดให้มาดูดน้ำหวาน และผสมเกสรให้มัน กลิ่นของดอก Titan Arum คล้ายกับเนื้อเน่าสำหรับคน แต่กลับเป็นกลิ่นหอมยั่วน้ำลายแมลงเต่าที่ชอบกินของเน่าและแมลงวันให้มาช่วย ผสมเกสร กลีบดอกสีแดงเข้มยังช่วยล่อแดมลงที่เข้ามาผสมเกษรได้เป็นอย่างดีเลยปัจจุบันมีการปลูกในหลายสวนพฤกษาศาสตร์ทั่วโลก และก็เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการนักปลูกเลี้ยงกันบ้างพอสมควร |