ถ้าพูดถึงหนังฝรั่ง ไม่ว่าเรื่องใด ถ้าตัดหนังที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ไปแล้วล่ะก็เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยถึงเรื่องความเชื่อที่เกี่ยวกับ หมาป่า หรือ แวมไพร์ นั่นไงล่ะลานนี้ไปไกลเลย และเราก็สนุกสนานกับการดูภาพยนต์ แต่คำถามที่ทำให้เราได้ขบคิดกันเสมอ จนมีเรื่องราวต่าง ๆ นานา ออกมามากมาย นั่นคือ หมาป่า แม่มด ผีดิบ แวมไพร์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านนี้มันมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นแค่ เรื่องของนิยายปรัมปรา ที่เราแต่งขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นเพื่อที่เราจะได้รู้เรื่องนี้ ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไง เราก็คงจะต้องไปทำความความรู้จักกับ แวมไพร์ กันเสียก่อน
ที่จริงแวมไพร์มันก็เป็นค้างคาวชนิดหนึ่ง แต่เนื้องด้วย วิวัฒนาการ ถิ่นที่อยู่ และอาหาร ทำให้มันแตกต่างออกไป โดยในกรณีนี้เป็นการปรับต้วเพื่อการอยู่รอดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งปกติที่เราเห็นค้างคาว จะกินผลไม้ และแมลงเป็นอาหาร แต่เจ้า แวมไพร์ น้ต่างไปโดยสิ้นเชิงเพราะมันกินเลือดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นอาหาร ซึ่งค้างคาวดูดเลือดนี้ถกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ค้างคาวดูดเลือดแท้ (true vampires) ซึ่งเป็นค้างคาวที่กินเลือด ของสัตว์เลือดอุ่นเป็นอาหารโดยตรง และค้างคาวดูดเลือดเทียม (false vampires) เป็นค้างคาวที่กินแมลงและสัตว์เล็กๆ เป็นอาหาร แต่เมื่อก่อนเข้าใจ ว่ากินเลือดเป็นอาหารเช่นเดียวกับค้างคาวดูดเลือดแท้ ซึ่ง ในกรณีของค้างคาวดุดเลือดเทียม ที่จริงมันก็คือค้างคาวกินแมลงที่เราได้เห็นทั่วไปซึ่งเป็นค้างคาวขนาดเล็ก
แต่ในกรณีค้างคาวดูดเลือดแท้ คนไทยอาจได้ยินไม่บ่อยนักด้วยเหตุผลที่ ค้างคาวชนิดนี้ไม่แหล่งอาศัยในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงทำให้เราไม่รู้จักมันเท่าไร ค้างคาวดูดเลือด จัดอยู่ในวงศ์ Desmodontidae มีอยู่ทั้งหมด 3 ชนิด คือ Diaemus youngi, Desmodus rotundus และ Diphylla ecaudata พบบริเวณประเทศเม็กซิโก ปารากวัย และทางตอนเหนือของชิลี มีขนาดลำตัวยาว 6.5-9 เซนติเมตร ช่วงต้นแขนยาว 5-6.3 เซนติเมตรโดยการมีฟันหน้าที่คมกริบเพื่อใช้กรีดผิวหนังเหยื่อ มีแผ่นหนังที่อ่อนนุ่ม บริเวณมือและเท้า ทำให้เกาะเหยื่อได้โดยที่เหยื่อไม่รู้สึกตัว และการที่มี กระเพาะอาหารเป็นหลอด มีผนังบางทำให้บรรจุเลือดได้มาก เช่นเดียว กันกับกระเพาะอาหารของทากดูดเลือด และกระเพาะอาหารของยุง ค้างคาวดูดเลือดจะออกหาอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่เหยื่อ นอนหลับ ค้างคาวจะบินเข้าไปใกล้เหยื่อและจะเกาะบนพื้นก่อนที่จะค่อยๆ คลานเข้าไปหาเหยื่อ ใช้ฟันหน้าที่คมกรีดผิวหนังเหยื่อบริเวณที่ไม่มีขน พร้อมทั้งปล่อยสาร กันเลือดแข็ง (anti-coagulating agent) ทำให้เลือด แข็งตัวช้า
(นักวิจัยพบว่าสารดังกล่าวชื่อ"เดสโมทีเพลส"สามารถออกฤทธิ ละลายลิ่มเลือดได้นานถึง9ชั่วโมงหลังผู้ป่วย เริ่มมีอาการstokeขึ้นและนับเป็นเวลามากกว่าตัวยาที่ใช้ในปัจจุบันซึ่งมี ฤทธิเพียง3ชั่วโมงเท่านั้น)
แล้วจึงค่อยๆ เลียกินเลือดที่ไหลออกมาจนอิ่ม จนมีลำตัวกลมป้อม เคลื่อนไหวได้เชื่องช้า เหยื่อของค้างคาวดูดเลือดส่วนมากเป็นสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย แพะ ม้า หมู หรือแม้กระทั่งคน เหยื่อที่ถูกค้างคาวกัดและกินเลือด จะไม่ได้รับอันตรายถึงตายแต่อย่างใด แต่รอยแผลที่เกิดจากค้างคาวกัด จะมีแมลงเข้าไปไข่ไว้ ทำให้สัตว์เลี้ยงอ่อนแอลงและเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ดังนั้นค้างคาวดูดเลือดจึงเป็นอันตรายต่อการปศุสัตว์ เมื่อค้างคาวดูดเลือด กินอาหารอิ่มแล้วจะบินกลับไปยังถ้ำที่อยู่ในป่า และจะออกหาอาหารอีกครั้ง หลังจากกินอาหารครั้งแรก 2-3 วัน และพฤติกรรมแบบนี้เองครับ ที่ทำให้นักแต่งนิยายในยุคกลางนำเรื่องของค้างคาวดูดเลือดไปแต่งเป็นเรื่องเป็นนราวต่าง ๆ นานา ทำให้ชื่อเสียงของมันไม่ค่อยจะดีเท่าไรมาจนถึงทุกวันนี้