เอาล่ะครับ ผมเคยนำเสนอในเรื่องของดอก บัวผุดไปแล้ว และก็นำเสนอดอกบุกยักา์ และก็ยังนำเสนอดอกบุกไปอีก วันนี้ก็ยังอยากนำเสนอกอดไม้ใหญ่ ๆ เหมือนเดิมครับ แต่จะเปลี่ยนมาเป็นดอกอุตพิษ
ดอกอุตพิษ เป็นดอกไม้อีกชนิดที่มีขนาดใหญ่ ๆ อีกดอก เรียกว่าถ้าได้เห็นหลายคงคงจะเห็นเหมือนกันว่ามันใหญ่มาก ๆ แต่ขอบอกว่า แต่ละต้นกลิ่น สุดยอด
เอ้า..เรามารู้จักข้อมูลคร่าว ๆ กันก่อน
ชื่ออื่นๆ : มะโหรา (จันทบุรี) , บอนแก้ว (เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typhonium trilobatum Schott.
วงศ์ : ARACEAE
ดอกอุตพิษ เป็นดอกไม้อีกชนิดที่มีขนาดใหญ่ ๆ อีกดอก เรียกว่าถ้าได้เห็นหลายคงคงจะเห็นเหมือนกันว่ามันใหญ่มาก ๆ แต่ขอบอกว่า แต่ละต้นกลิ่น สุดยอด
เอ้า..เรามารู้จักข้อมูลคร่าว ๆ กันก่อน
ชื่ออื่นๆ : มะโหรา (จันทบุรี) , บอนแก้ว (เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typhonium trilobatum Schott.
วงศ์ : ARACEAE
ลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน หัวจะเล็กเป็นรูปเกือบจะกลม วัดผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ ๑.๒ ซม.
ใบ : จะมีลักษณะเป็นแฉกกลางรูปไข่ปลายแหลม ใบเป็นสีเขียวมีลาย หรือจุดประสีม่วง ก้านใบมีความยาวประมาณ ๓๗.๕ ซม. ใบจะเป็นหยัก ๓ แฉก มีความกว้างและยาวประมาณ ๒๕-๓๐ ซม.
ดอก : จะออกเป็นช่อ เป็นแท่งยาว ช่อดอกมีกาบหุ้มยาวประมาณ ๒๓ ซม. กาบจะกว้างประมาณ ๗.๕ ซม. ก้านช่อดอกจะเป็นสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือสีแดงเข้ม ดอกเพศเมียจะอยู่ตรงโคนแท่ง เหนืออกเพศเมียจะเป็นดอกฝ่อ เป็นสีขาวถัดไปเป็นที่ว่าง เหนือที่ว่างนั้นจะเป็นดอกเพศผู้ เป็นสีชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีกลิ่นเหม็น
ผล : ผลสดจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ภายในจะมีเมล็ดอยู่
การขยายพันธุ์ : โดยการแยกหน่อ
ส่วนที่ใช้ : หัว กาบ ก้านใบ และราก ใช้เป็นยา สรรพคุณ :
- หัว ใช้เป็นยากัดเถาดานในท้อง กัดฝ้าหนองสมานแผลหรือใช้หุงเป็นน้ำมันใส่แผล และใช้ปิ้งไฟใช้กินได้
- กาบ นำไปหั่นให้ละเอียด ใช้ดองกินเป็นอาหารผักได้
- ก้านใบ ลอกเปลือกออกใช้แกงส้มแบบเดียวกับแกงบอนได้
- ราก จะมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้กินกับกล้วยรักษาโรคปวดท้อง หรือใช้ทาภายนอกและกินรักษาพิษงูกัดได้
ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน ของทวีปเอเชีย มักพบขึ้นทั่ว ๆ ไป ตามที่ร่มเย็น
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน หัวจะเล็กเป็นรูปเกือบจะกลม วัดผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ ๑.๒ ซม.
ใบ : จะมีลักษณะเป็นแฉกกลางรูปไข่ปลายแหลม ใบเป็นสีเขียวมีลาย หรือจุดประสีม่วง ก้านใบมีความยาวประมาณ ๓๗.๕ ซม. ใบจะเป็นหยัก ๓ แฉก มีความกว้างและยาวประมาณ ๒๕-๓๐ ซม.
ดอก : จะออกเป็นช่อ เป็นแท่งยาว ช่อดอกมีกาบหุ้มยาวประมาณ ๒๓ ซม. กาบจะกว้างประมาณ ๗.๕ ซม. ก้านช่อดอกจะเป็นสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือสีแดงเข้ม ดอกเพศเมียจะอยู่ตรงโคนแท่ง เหนืออกเพศเมียจะเป็นดอกฝ่อ เป็นสีขาวถัดไปเป็นที่ว่าง เหนือที่ว่างนั้นจะเป็นดอกเพศผู้ เป็นสีชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีกลิ่นเหม็น
ผล : ผลสดจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ภายในจะมีเมล็ดอยู่
การขยายพันธุ์ : โดยการแยกหน่อ
ส่วนที่ใช้ : หัว กาบ ก้านใบ และราก ใช้เป็นยา สรรพคุณ :
- หัว ใช้เป็นยากัดเถาดานในท้อง กัดฝ้าหนองสมานแผลหรือใช้หุงเป็นน้ำมันใส่แผล และใช้ปิ้งไฟใช้กินได้
- กาบ นำไปหั่นให้ละเอียด ใช้ดองกินเป็นอาหารผักได้
- ก้านใบ ลอกเปลือกออกใช้แกงส้มแบบเดียวกับแกงบอนได้
- ราก จะมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร ใช้กินกับกล้วยรักษาโรคปวดท้อง หรือใช้ทาภายนอกและกินรักษาพิษงูกัดได้
ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน ของทวีปเอเชีย มักพบขึ้นทั่ว ๆ ไป ตามที่ร่มเย็น