ชีวิตของนักเดินทาง
การ เดินป่าเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเป็นคนที่อดทนและมีมานะในการทำงาน ซึ่งผมไม่เคยได้รู้สึกเบื่อ ไม่เคยรู้สึกย่อท้อในการเดินทางต่าง ถึงแม้ในบางรังมันจะเหน็ดเหนื่อยหรือลำบากตรากตรำสักเพียงใดก็ตามทุกครั้ง หลังจากมีการเดินทางสู่ป่าธรรมชาติมันทำให้รู้สึกเหนื่อยและเมื่อยล้าอย่าง มากซึ่งบางครั้งมันมีจุดมุ่งหมายในการเดินทางที่ยิ่งใหญ่มากมันก็จะทำให้ผม ได้รู้สึกถึงคุณค่าของการเดินทาง ซึ่งบางครั้งมันทำให้ผมอยากที่จะส่ายหน้ากับการเดินทาง บางครั้งมันก็เป็นการเดินทางที่เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางอันสุดหฤโหดซึ่ง บางครั้งทำให้รู้สึกว่าอยากจะให้การเดินทางนั้นเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย เลยทีเดียว
การ เดินป่าเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเป็นคนที่อดทนและมีมานะในการทำงาน ซึ่งผมไม่เคยได้รู้สึกเบื่อ ไม่เคยรู้สึกย่อท้อในการเดินทางต่าง ถึงแม้ในบางรังมันจะเหน็ดเหนื่อยหรือลำบากตรากตรำสักเพียงใดก็ตามทุกครั้ง หลังจากมีการเดินทางสู่ป่าธรรมชาติมันทำให้รู้สึกเหนื่อยและเมื่อยล้าอย่าง มากซึ่งบางครั้งมันมีจุดมุ่งหมายในการเดินทางที่ยิ่งใหญ่มากมันก็จะทำให้ผม ได้รู้สึกถึงคุณค่าของการเดินทาง ซึ่งบางครั้งมันทำให้ผมอยากที่จะส่ายหน้ากับการเดินทาง บางครั้งมันก็เป็นการเดินทางที่เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางอันสุดหฤโหดซึ่ง บางครั้งทำให้รู้สึกว่าอยากจะให้การเดินทางนั้นเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย เลยทีเดียว
แต่ หลังจากการเดินทางได้จบลงชีวิตก็หันสู่พื้นราบ มีการดำเนินชีวิตตามวิถีของชาวเมือง แต่เมื่อนั้นไปอีกไม่นานนักจิตสำนึกในสัญชาตญาณและจิตวิญญาณแห่งความเป็นนัก สู้ก็เรียกร้องให้ผมได้กลับไปสู่ชีวิตแห่งการเดินทางที่ยากลำบากนั้นอีก ครั้ง แม้จะยังไม่ทราบถึงหนทางข้างหน้าที่จะไปนั้นเลยก็ตามแต่สัญชาตญาณมันได้บอก กับผมทุกครั้งว่าให้เตรียมตัวยอมรับความลำบากและความเหน็ดเหนื่อยข้างหน้า นั้นไว้ล่วงหน้าแต่ถึงกระนั้นแล้วผมก็อยากไปสู่เส้นทางนั้นแม้จะไม่รู้ในหน ทางข้างหน้าที่จะเดินไปก็ตาม
เมื่อ มองลงสู่พื้นราบมันกลับทำให้ผมเห็นว่าความลำบากและความเหน็ดเหนื่อยจากการ เดินทางในป่ามันก็ยังไม่ลำบากเท่ากับการเดินทางที่ผมเป็นประจำบนพื้นราบ มันทำให้ผมได้มองเห็นตัวเองในหลายด้าน ทำผมให้ได้รู้ว่า ชีวิตมีขึ้นและมีลง มันได้ถูกกำหนดและถูกเลือกไว้แล้วเมื่อเราได้เลือกเส้นทางการดำเนินชีวิต บางเส้นทางอาจโรยด้วยกลีบกุหลาบที่สวยงามตลอดเส้นทางการเดินและในขณะเดียว กันบางเส้นทางได้ถูกโรยด้วยขวากหนามและอักษรพิษชนิดต่าง ๆ หลายคนได้เลือกเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ และยังมีอีกหลายคนได้เลือกเส้นทางที่มีแต่ขวากหนามและอักษรพิษ หลายคนได้เคยเลือกมาแล้วทั้งสองเส้นทางและหลายคนมีความรู้สึกไม่พอใจในสิ่ง ที่ตนเองเลือกและพยามเดินออกนอกเส้นทางนั้นถึงแม้จะเป็นเส้นทางที่เลือกมา ด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งการเดินทางของชีวิตในแต่ละขั้นมันทำให้เราได้เรียนรู้และทำให้เป็นอุทา หรในการเลือกทางเดินในครั้งต่อไปไม่ว่าคุณหรือผมก็ต้องเลือกมาแล้วทั้งนั้น แต่เนื่องจากทุกคนมีทางเลือกที่ต่างกันบางครั้งเราก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง คือเส้นทางที่มีแต่กลีบกุหลาบแต่เนื่องจากเราไม่สามารถทราบเส้นทางที่จะเดิน ไปข้างหน้าได้เราจึงอาจเลือกเส้นทางที่ผิดไปเลือกเส้นทางที่มีแต่ขวากหนาม และอักษรพิษ แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ไม่ว่าผมจะเลือกเส้นทางใด ถ้าผมมีความมานะและอดทนที่จะไปและมีความมุ่งมั่นพอที่จะต้อนรับความสำเร็จ อันยิ่งใหญ่นั้นแล้วสิ่งสุดท้ายที่ผมจะได้รับมันก็คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ที่มีคุณค่าอันมหาศาลสำหรับผมนั้นเอง อุปสรรค์มันเกิดขึ้นได้เสมอ มันขึ้นอยู่กับคุณพร้อมที่จะเอาชนะมันหรือไม่ถ้าคุณพร้อมอุปสรรค์ที่ใหญ่ หลวงที่คุณพบมันก็จะมีค่าเพียงหินก้อนเล็ก ๆ ที่คุณสามารถเดินข้ามได้ง่าย ๆ เท่านั้นแต่ถ้าหากคุณกลัวมันหรือคุณไม่ยอมมองมันมันก็สามารถที่จะทำให้คุณ เดินสะดุดล้มได้เช่นกัน
และ ในวันที่ผมสอบเสร็จในขณะที่ผมรอเวลาที่ผมต้องไปฝึกงานนั้นผมก็มีเวลาว่าง หลายวันพอที่ผมจะไปเดินสำรวจป่าธรรมชาติ ผมเลยคิดตัดสินใจไปสำรวจป่าตามที่ใจผมนึกจะไป ผมได้เลือกพื้นที่ป่าที่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก ผมได้เริ่มเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้าและได้เตรียมตัวที่จะ มุ่งหน้าไปสู่อุทยานแห่งชาติแม่วงศ์ผมใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ ผมก็เข้าสู่ตัวเมืองคลองลาน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมมีลูกทีมทั้งหมดสี่คนครับซึ่งทั้งหมดเป็นคนจังหวัด อื่นครับยกเว้นผม ผมและทีมงานได้แวะซื้อของบริเวณตลาดคลองลานซึ่งผมและทีมงานได้เตรียมของกิน และของไปพอที่จะอยู่ในป่าได้สี่วันสี่คืนเลยทีเดียวซึ่งในทีมงานผมก็มี ผู้หญิงไปด้วยกันสองคน ซึ่งผมและเพื่อนผู้ชายอีกหนึ่งคนได้ซื้อของเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว แต่เพื่อนผู้หญิงสิครับผมมานั่งรออีกพักใหญ่ยังไม่เสร็จเลย นี่แหละนะ…ผู้หญิงกับตลาด และแล้วผมก็ได้ออกเดินทางกันต่อ ไปหลังจากที่ทำใจรอคอยมาเป็นเวลานานเส้นทางที่ผมไปเป็นทางลูกรังครับ แต่ก็ยังไม่ถึงกับทรหดนักตลอดสองฝั่งทางผมได้มองเห็นป่าและธรรมชาติอย่าง ชัดเจนในขณะที่ผมได้นั่งรถผ่านป่ามากมาย ซึ่งพื้นที่ป่าส่วนใหญ่จะเป็นป่าเต็งรังและบางที่ก็จะมีสภาพเป็นเบญจพรรณมี ต้นไม้ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ครับ เมื่อเข้าสู่พื้นที่ป่าผมก็ได้รู้สึกถึงไออุ่นที่มีความหมาย รู้สึกถึงคำว่าโลกที่สมบูรณ์แบบ และชีวิตทีค่าอีกหลายชีวิตในป่าใหญ่ เมื่อผมไปถึงผมก็ได้แหงนมองไปสู่ตะวันที่เพิ่งจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าซึ่งมัน สวยงามมาก เมฆสีขาวบนฟ้าที่มีสีครามหมอกที่จับอยู่บนยอดเขาในยามเช้าและเมื่อมองที่ยอด ของต้นไม้ใหญ่ก็จะกับดอกไม้ขนาดเล็กที่อยู่บนต้นไม้ ซึ่งถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่ถ้ามีหลายดอกเช่นนี้ก็จะทำให้ดูสวยไปอีกแบบครับ ซึ่งพืชที่ผมกล่าวถึงอยู่นี้มันก็คือเอื้องดอกมะขามที่พบได้มากในบริเวณนี้ แน่นอนครับเอื้องดอกดอกมะขามสีเหลืองยามเช้ากับแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่ เพิ่งโผล่ขอบฟ้ามันทำให้ผมคิดถึงอนาคตว่าคงต้องมีสักวันที่ผมจะได้มีอนาคต ที่สดใสและงดงามเช่นเดียวกับเอื้องดอกมะขามนี้ถึงแม้จะยังไม่เห็นอนาคตนั้น เลยก็ตาม และ ในเวลานั้นมันทำให้ผมรู้สึกถึงคำว่าจิตวิญญาณแห่งป่า ซึ่งหลายคนบอกว่ามันคือ ความงดงามของป่า และบางคนบอกว่ามันคือความอุดมสมบูรณ์ของป่าแต่สำหรับผม จิตวิญญาณของป่ามันก็คือสิงที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันในพื้นที่ป่า ซึ่งจะมีหลายแบบที่รวมระบบนิเวศแบบต่าง ๆ ไว้ด้วยกันมีการพึ่งพาอาศัย มีการล่า มีการผลิต และมีการย่อยสลาย ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุด และอาจกล่าวได้ว่าจิตวิญญาณของป่านี่เองที่ทำให้สัญชาตญาณแห่งนักสู้ในตัวผม ได้ตื่นขึ้นมาและจิตวิญญาณของป่านี่เองที่นำพาผมมาที่นี่ทำให้ผมได้เห็นอีก แง่มุมหนึ่งของชีวิตที่อาจจะตรงข้ามกับชีวิตที่เป็นอยู่ทำให้ผมได้รู้ว่ามุม มองในความลำบากยากเข็ญในการใช้ชีวิตบนพื้นราบเป็นเพียงเสี้ยนหนามเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับการเดินทางและการใช้ชีวิตในป่า และเมื่อมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งแน่นอนครับมันเป็นต้นเต็งขนาดใหญ่ซึ่ง เมื่อคิดดูแล้วมันอาจไม่มีอะไรเลยแต่สิ่งที่ผมมองมันเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งมัน ติดอยู่บนกิ่งไม้มันใบสี่ใบครับสองใบที่เห็นด้านบนจะคอนข้างกลมและแตกเป็น แฉกซึ่งเมื่อพิจารณาอีกทีมันเหมือนมงกุฎอะไรประมาณนั้นครับส่วนอีกสองใบห้อย ลงมีรูปร่างคล้ายปีกผีเสื้อที่สวยงามมากครับ และใช่แล้วครับมันคือกระเช้าสีดาปีกผีเสื้อ ที่ติดแน่นกันต้นไม้มันมีเทคนิคการปรับตัวที่น่าทึ่งกับความเปลี่ยนปลงที่ เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาของอากาศที่น่าทึ่ง มันมีใบที่คอบรับเศษใบไม้จากที่สูงและมีขอบใบเป็นแฉกที่ทำให้มันรองรับน้ำ ได้เป็นอย่างดีและมันยังมีการพักตัวในฤดูแล้งซึ่งมันมีวิธีแก้ปัญหาที่แยบ ยนและถ้าเรารู้จักแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและตรงกับสถานการที่เกิดขึ้นผมรับรอง ได้ครับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับคุณจะหมดไปอย่างรวดเร็วแน่นอนคุณก็จะเอาตัวรอ ด่านอุปสรรค์ได้เหมือนกับกระเช้าสีดาที่พักตัวเพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้ง นั้นเอง และเมื่อผมเดินต่อไปเรื่อย ๆ ผมก็ได้พบกับต้นหยาดน้ำค้างซึ่งเป็นพืชกินแมลงชนิดหนึ่งแต่น่าแปลกที่แมลง สามารถบินได้ไกลนับร้อยไมล์แต่หยาดน้ำค้างไม่สามารถเคลื่อนที่ได้แต่ทำได้ เพียงขยับหนามเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วหยาดน้ำค้างจะสามารถจับแมลงนั้นได้ อย่างไรและแล้วผมก็ได้เข้าใจเมื่อยุงตัวหนึ่งได้บินตอมที่ใบของหยาดน้ำค้าง และได้เกาะที่ใบของหยาดน้ำค้างและได้ถูกหยาดน้ำค้างนั้นจู๋โจมอย่างรวดเร็ว ด้วยหนามที่มีขนาดเล็กที่มีอยู่นับร้อยของมันของมัน หยาดน้ำค้างใช้สีสันและความสวยงามของมันในการล่อแมลงเพื่อให้แมลงมาตอมและ เกาะบริเวณใบของมันและจากนั้นก็ใจหนามที่อยู่บริเวณใบของมันช่วยในการดักจับ แมลงมันเป็นวิธีการใช้ทีเผลอและความประมาทของเหยื่อในการจัดการกับเหยื่อ ซึ่งการการกระทำนี้เราอาจใช้วิธีเดียวกันนี้ในการดำเนินชีวิตในบางโอกาสแต่ การกระทำทุกอย่างก็ต้องอยู่ภายใต้ศีลธรรมและจริยธรรมด้วยเช่นกันและอีอย่าง ก็คือเราก็ควรพิจารณาสิ่งสวยงามหรือสิ่งมอมเมาที่มีอยู่รอบตัวว่าสมควรยุ่ง กับสิ่งนั้นเพียงใดถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นอย่างยุ่งที่หลงใหลในเสน่ห์ ของหยาดน้ำค้างและถูกทำลายลงด้วยสิ่งที่มันหลงใหล ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกับที่เราพลาดหรือถูกหลอกลวงจากคนรอบตัว ก็ได้ ป่าสอนสอนผมให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากป่า และในขณะที่ผมเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกอยู่นั้นผมก็ได้มองเห็นนกกระหัว ขวานตัวหนึ่งมันได้ทำการใช้กรงเล็บที่แข็งแรงของมันยึดเกาะต้นไม้และใช้ปาก อันทรงพลังของมันในการเจาะต้นไม้เพื่อให้ได้มาซึ่งเหยื่ออันโอชะของมันแต่ การใช้ปากอันของมันเจาะต้นไม้นั้นมันก็ไม่ง่ายนักถึงแม้มันจะมีปากที่แหลมคม ก็ตามแต่มันก็พยามที่จะเจาะอย่างไม่ลดละมันจนในที่สุดมันก็ได้ด้วงตัวอ้วนสี ขาวที่มันต้องการ ซึ่งในความเป็นจริงทุกคนจะเห็นได้ว่าเมื่อเราต้องการสิ่งใดและมีความพยายาม ที่จะทำมันอย่างไม่ลดละเราก็จะสำเร็จได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการดังเช่นนก หัวขวาที่ต้องการด้วงจำไม้มาเป็นอาหารเย็นอันโอชะ ผมและทีมงานได้เดินต่อไปได้อีกไม่ไกลนักผมและทุกคนก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยผมใน ฐานะผู้นำทีมจึงพาทุกคนไปหาที่นั่งพักเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยทุกคนหยุด พักกินน้ำกันบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งผมเองก็สังเกตเห็นว่ามีรอยเท้าของสัตว์ใหญ่น้อยมากมายตั้งแต่สัตว์ที่มี ขนาดใหญ่เช่นหมู่ป่าและสัตว์นาเล็กจำพวกกระเล็นเต ซึ่งต้นไม้นั้นจะมีชื่อเรียกกันในภาษาชาวบ้านว่าเป็นต้นมะหมกครับและผมก็คิด เอาเองว่าสัตว์ป่าจะชอบกินเมล็ดของมะหมกนี้มากเพราะแทบทุกผลที่ผมเห็นอยู่จะ ถูกสัตว์ต่างกินเมล็ดจนหมดและเมื่อมองดูบนต้นไม้ผมก็มองเห็นเจ้าพวกกระเล็น เตฝูงหนึ่งวิ่งอยู่บนต้นมะหมกซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่นอนได้ว่ามี กี่ตัวแต่เอาเป็นว่าที่แน่ ๆ มันมีมากกว่าสิบตัวแน่นอนและยังมีพวกกระแต กระรอกดง และกระจ้อนอีกแต่ที่น่าสนใจผมว่าน่าจะเป็นเจ้ากระแตหางขนนกนะเพราะผมสังเกต เห็นทีมงานของผมแต่ละคนแข่งกันจ้องมองมันอย่างเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว แต่ผมกลับสังเกตเห็นว่ากระเช้าสีดาปีกผีเสื้อบางต้นกลับเริ่มมีการพักตัว แล้ว ซึ่งมีความเชื่อโบราณของบางท้องถิ่นได้บอกไว้ว่า หากกระเช้าสีดาปีกผีเสื้อเริ่มพักตัวเมื่อใดแสดงว่าฝนจะแล้งแล้วครับแต่ หากกระเช้าสีดาปีกผีเสื้อฟื้นตัวเมื่อใดก็แสดงว่าฤดูจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้นะว่าจะจริงเสมอรึเปล่าแต่ที่ผ่านมาก็จริงนะแต่ปีนี้ผมได้ข่าวว่า จะมีพายุเข้าและมีร่องฝนที่จะพัดผ่านเมืองไทยอีหลายลูกแต่ถึงอย่างไรผมว่า ถ้าเห็นแบบนี้แล้วก็เตรียมแผนการจัดการน้ำล่วงหน้าไว้เลยก็ดีนะถึงจะยังไม่ แล้งแต่เราก็จะไม่พลาดเมื่อมันแล้งเพราะคนเราสั่งฟ้าสั่งฝนไม่ได้นี่ครับ เมื่อเริ่มแล้งเมื่อใดแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะแล้งต่อไปอีกกี่เดือน และเมื่อผมและทีมงานพักกันหายเหนื่อยเราก็มุ่งหน้าสู่ป่าลึกซึ่งเราได้พรรณ ไม้มากมายทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่เมพื้นที่ที่เราเดินผ่านและเมื่อเวลาได้ ประมาณสี่โมงเศษผมจึงบอกกับทีมงานให้หาที่ตั้งแค้มป์ ครับและเราก็พบลานกว้างที่น่าตั้งแค้มมากผมจึงบอกกับทุกคนในการจัดสถานตั้ง แค้มป์จากนั้นเมื่อเราจัดแค้มป์เสร็จเราก็เริ่มหาอาหารกันอาหารมื้อแรกผมได้ หุงข้าวแบบไม่ค่อยเต็มใจและเกี่ยง ๆ ผมจึงหุงในกระบอกไม้ไผ่ถ้าใครนึกไม่ออกก็ดูการเผาข้าวหลามแหละครับข้าวใส่ กระบอกไม้ไผ่น้ำใส่ใบตองอุดและก็โยนเข้ากองไฟและกับข้าวเราก็ได้ยอดไผ่ เอ้ย! ไม่ใช่ครับแต่เป็นส่วนยอดของหน่อไม้ที่มันสูงหรือที่เรียกกันว่ามันบินแล้ว นั่นแหละและยังมีน้ำพริกสำเร็จรูปมาช่วยเอาไว้กินกับหน่อไม้น่ะครับ แหม่พูดแล้วน้ำลายไหลเราทานอาหารกันแบบป่า ๆ นั่งกันรอบกองไฟ แหม่ได้บรรยากาศแสงไฟใต้พฤกษาจริง ๆ ผมและเพื่อนผู้ชายอีกคนได้ผลัดกันมาเฝ้าและเป็นเวรยามนอกเต้นในตอนกลางคืน (คือว่าจริง ๆ แล้วผลัดกันมาแอบหลับใต้ลมเย็นนอกเต๊นน่ะครับ แหมถ้าไม่มียุงนะจะหลับปุ๋ยสบายกว่าในเต๊นซะอีกง่ะ) เมื่อเวลาประมาณตีห้าเศษผมจึงเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าทำธุระส่วนตัวแล้วจาก นั้นจึงมาเตรียมอาหารเช้าซึ่งก็คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลวกสองนาทีเป็นอาหารมื้อเช้าครับและจากนั้นเราก็เตรียม เก็บของและเดินทางกันต่อเพื่อทำการสำรวจป่าเพราะเรามากันสีวันเราจึงมีเวลา เพียงสองวันในการสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่เราจึงใช้เวลาในการสำรวจ อย่างคุ้มค้าผมและทีมงานได้เดินผ่านป่าที่ค่อนข้างมืดครึ้มเนื่องจากต้นไม้ ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ไว้ค่อนข้างมากทำให้ผมอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ตลอดเวลา และที่สำคัญคือผมแทบจะไม่มีโอกาสเห็นตะวันเลยผมและทีมงานได้เดินข้ามลำธาร เล็กๆ มีน้ำอยู่ไม่มากนักเราจึงเดินตามทวนสายน้ำนั้นขึ้นไปผมและทีมงานเดินไปอีก แค่ประมาณ 200 เมตร เราก็เห็นหน้าผาเล็กๆ มีน้ำไหลรินลงมาพอให้เห็นน้ำ นี่ถ้ามันใหญ่กว่านี้และมีน้ำมากคงสวยงามไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่เป็นอย่างนั้นผมก็ยังต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ เฟิน ครับ จะเรียกได้ว่าเป็นดงเฟินเลยก็ว่าได้ ตามโขดหินก็มีมอสสีเขียวเกาะอยู่ เต็มไปหมด โขดหินบ้างก้อนก็มีเฟินขึ้นอยู่กับมอสและยังมีเอื้องกระเจี้ยงและกล้วยไม้ ชนิดอื่น ๆ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด เห็นแล้วน่าปลื้มใจจริงๆ ความจริงผมพรรณไม้ไทยก็สวยงามไม่น้อยกว่าพรรณไม้ที่สั่งมาจากต่างประเทศที่ มีราคาแพงซะอีกบริเวณใกล้ๆ ทางน้ำไหลที่น้ำไหลลงมามีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ติดกับหน้าผาที่เล็ก ๆนั้น ซึ่งที่หน้าผานั้นเต็มไปด้วยเฟินหลากหลายชนิด แค่บริเวณที่ผม ยืนอยู่นั้นเมื่อมองไปรอบๆ ตัวก็เห็นอยู่หลายหลากมากชนิด เช่น กนกนารี ตีนตุ๊กแก ขนคางพญานาค ที่ทางน้ำไหลเล็กๆ ม ีเฟิร์นก้านดำ ใบเล็ก ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทั้งตามพื้นดิน และโขดหิน เมื่อ โดนลมพัดก็พลิ้วไหวสวยงามมาก ผมปีนหน้าผาเล็กๆ ผ่านดงเฟินก้านดำขึ้นไปและผมก็ต้องหยุดมองกับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าซึ่ง ผมไม่คาดคิดเลยว่าผมจะได้เห็นมัน ใกล้ๆ ที่ผมยืนอยู่นั้นมี เฟินก้านดำสีชมพู ซึ่งเป็นเฟินก้านดำ 1 ใน 10 กว่าชนิดของเมืองไทยกำลังงอกใบอ่อนสีชมพูจัดจ้านทำให้พื้นดูเป็นสีชมพูสวย งามอย่างบอกไม่ถูก จากที่ผมเคยเห็นมาเฟิร์นก้านดำสีชมพูจะปนอยู่กับเฟิร์นก้านดำชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะเห็นจะเห็นในจำนวนที่น้อยมากและมีประชากรกระจายตัวอยู่ห่าง ๆแต่ครั้งนี้ที่ผมเห็นมันเป็นป่าครับ…..ป่าเฟิร์นก้านดำสีชมพู……… มันสุดยอดไปเลยครับ……………. หลังจากที่ผมสำรวจไปทั่ว บริเวณนั้นแล้วผมจึงทำการเดินทางต่อและผมและทีมงานจึงปรึกษากันว่าการเดิน ทางด้วยเท้ามันเป็นไปได้ช้ามากผมจึงเดินทางออกมาที่ชายป่าครับเพื่อใช้ โทรศัพท์มือถือติดต่อกับคนคนหนึ่งครับเขาเป็นคนในพื้นที่เขามีความชำนาญทาง ครับ(ว่ากันว่าหาเห็ดได้ไม่เว้นแต่ละวัน)แต่เขาไม่ประสงค์จะออกนามครับผมขอ เรียกกับเขาว่าคนนำทางก็แล้วกัน และเพื่อให้การเดินทางในป่าเป็นได้ดีที่สุดเขาได้นำเก๋งชาวนาล้อหน้าโอเพ่น (รถคุณต็อกน่ะครับ)มารับน่ะครับเขาได้พาผมนั่งรถไปตามทางเขาบอกว่าเป็นทางหา เห็ดน่ะครับ(แหมมันกระแทกเจ็บก้นหมดแล้วโว้ย)แต่ที่จริงมันเป็นเพียงที่ว่าง ที่รถจะเข้าไปได้เท่านั้น ผมและทีมงานได้นั่งรถและสั่งเกตุข้างทางโดยละเอียดพอรถเชิดหน้าขึ้นเขาเฟิน ที่เห็นตามริมเส้นทางเป็นพวก กูดขนคางพญานาค กูดกวาง บางช่วงที่จะพบเห็นกูดเกี๊ย ท้าลมแรงอยู่ริมเส้นทางที่เป็นที่ลาดเอียง ตามหน้าผาที่เป็นดินลูกรังพบเห็นกูดตั่ง (อุ้งตีนหมี) กูดดอย สังเกตง่ายๆ เฟินพวกนี้จะมีใบออกเป็นสีส้มจัด โดยเฉพาะที่อยู่บนดอยสูงแบบนี้ ได้รับแสงแดดเต็มแบบนี้สีสดมาก เส้นทางช่วงนี้พบแต่ต้นเล็กๆ บางทีก็ขึ้นกันเป็นกอ ยังไม่เห็นต้นขนาดใหญ่ ผมเคยพบเฟินอุ้มตีนหมีในบริเวณนี้ซึ่งภูเขาลูกนั้นมีแต่เฟินชนิดนี้ทั้งลูก ขนาดต้นสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ตอนที่ผมเห็นเป็นช่วงรอยต่อระหว่างเมษายน เฟินโดนไฟป่า พอได้น้ำฝนเพียงนิดหน่อยก็แตกใบอ่อนสีส้มสดไปทั้งป่าเลยครับ ป่าบริเวณนี้นี้ส่วนใหญ่ผ่านป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง มีเฟิร์นชนิดต่าง ๆ ให้เห็นตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็น กูดเวียน กูดอ้อมที่เกาะตามคาคบไม้หรือ ตามหน้าผาหิน ริมหน้าผาที่เป็นดินลูกรังร่วนซุย ก็จะพบสามร้อยยอดได้ไม่ยาก บางแห่งก็จะพบเฟินก้านดำที่ชื่อกูดหูควาก เฟินชนิดนี้ถ้าขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เวลาลมพัดใบพลิ้วสวยงามมาก พวกโชนใบเล็กมีให้เห็นกันตลอดการเดินทาง ทั้งที่อยู่บนยอดเขา และริมทาง ถ้าพวกที่อยู่กลางแดดใบจะค่อนข้างสั้น แต่ถ้าใหญ่ในที่ร่มซักหน่อยใบจะค่อนข้างยาว-ใหญ่ และเวลานี้ผมก็สังเกตว่ามันใกล้มืดลงทุกทีผมจึงบอกกับคนนำทางให้หาที่จัดแคม ปิ้ง และคนนำทางก็จัดหาที่ให้ครับเราได้คุยเรื่องเฮฮากันพักใหญ่ ๆ เลยครับซึ่งบรรยากาศเหมือนกับชุมนุมรอบกองไฟยังไงยังงั้นเลยล่ะครับและสัก พักใหญ่ผมก็ออกมาดูบรรยากาศของป่าในตอนกลางคืนที่มันมืดมากครับแต่ก็ยังพอมี ดาวให้มองเห็นทิศทางก็เหมือกับคนเราแหละครับเมื่อเราผิดหวังหรือมีปัญหาใน เรื่องใดถึงแม้มันจะยากเพียงใดแต่เราก็ยังพอมีทางที่จะแก้ไขได้เสมอกันพอ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็กลับมาเข้านอนครับและคนนำทางก็อาสาเป็น เวรยามให้ครับผมก็เลยได้นอนหลับอย่างสบายใจในเต้นและในตอนเช้า เอ้ก-อี้-เอ้ก-เอ้ก ผมได้ยินเสียงไก่ป่าขันผมก็รู้ตัวโดยทันทีว่าถึงเวลาที่ผมต้องเริ่มเดินทาง ไปสู่ความยากลำบากและความเหน็ดเหนื่อยอีกครั้งแต่ผมก็เข้าใจด้วยตัวเองว่า การทำทุกสิ่งทุกสิ่งอย่างต้องมีการลงทุนถ้าเราไม่ลงทุนเราก็ไม่เราก็จะไม่มี กำไรชีวิตคนเราก็เช่นกันถ้าเราไม่พยายามต่อการต่อสู้เราก็จะไม่รู้ถึงคำว่า กำไรของชีวิตกำไรที่สามารถที่จะเข้าใจและได้มาในทุกคน ซึ่งผมก็บอกไม่ได้ว่ากำไรของชีวิตที่ผมว่าคืออะไรแต่ผมบอกคุณได้ว่าถ้าคุณ ต้องการมันคุณต้องค้นหามันแล้วสัญชาตญาณมันจะบอกคุณเองว่าสิ่งที่คุณค้นหา มันคืออะไร นั่น! ดูนั้นสิ หนึ่งในทีมงานงานของผมได้ชี้นิ้วไปที่ต้นไม้สูงแห่งหนึ่งและผมก็ได้มองตาม ขึ้นไปปรากกฎว่ามีนกขุนแผนตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้มันมีตัวสีน้ำเงินเหลือบ ทั้งตัว มีหางที่ยาวมาก ขนของมันสะท้อนแสง ซึ่งเหมาะกับที่จะกระทบกับแสงทองยามเช้ามากเลยครับเสียงร้องของมันบอกกับผม ได้ว่ามันดีใจที่เช้าอีกครั้งดีใจที่ได้ลุกขึ้นมาสู้ในวันใหม่อีกครั้ง เหมือนกับผมที่ดีใจในตอนนี้อีกครั้งนี่ก็อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งของกำไรชีวิต มันเป็นสิ่งที่น่าจดจำวันใดที่เราล้มสิ่งเหล่านี้มันก็จะบอกคุณว่าทางข้าง หน้าจะสวยงามเมื่อคุณมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ ถ้าวันนี้ของคุณสวยงามแล้วมันก็จะบอกคุณว่าถ้าคุณยังสู้ต่อไปสู้ให้ถึงที่ สุดวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่สวยงามที่สุดของคุณนั่นคือ กำไรของชีวิต และในวันนี้ผมก็คงไม่บันทึกเรื่องราวใดมากนักเพราะผมต้องรีบเดินทางออกจาก ที่นี่เพราะผมทราบมาว่าจะมีฝนจะตกหนักน่ะครับ
แต่หลังจากที่ฝนผ่านไปผมได้ย้อนกลับเข้าไปดูในป่านั้นอีกครั้งปรากฏว่า ป่าได้สมบูรณ์กว่าเก่ามาก
เรื่องราวนี้ผมคิดว่าจะเป็นบันทึกที่ดีนะครับแต่ถ้ามันไม่ดีผมก็ขอโทษ ด้วยครับแต่ผมฝากไว้ด้วยนะครับ
ถ้าเราคิดไว้เสมอว่าไม่แพ้ คำว่าชนะก็จะอยู่ในมือเรา
แต่ถ้าเราคิดว่าเราแพ้ คำว่าชนะก็จะเป็นดวงดาวที่คุณไม่สามารถจะจับต้องมันได้เลย