ที่จริงเรื่องของสัตว์ครึงบกครึ่งน้ำ เราก็รู้จักกันโดยทั่วไปโดยเฉพาะกบ ไม่ต้องพูดถึง คงไม่มีผู้อ่านคนใดที่ไม่รู้จักกบ แต่เนื่องด้วยสภาพที่แตกต่างกันออกไปในธรรมชาติ ทำให้รูปร่างของกบมีความแตกต่างออกทั้งขนาดสีสัน แต่ปัญหามันอยู่กับวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไปนี่แหละ ผลทำใหความต่างมันห่างไปไกลกันมากเลย แต่ความต่างมันไม่น่าสนใจถ้ากบมันอยู่ในน้ำ บนบกตามปกติ แต่ไอ้ปัญหามันอยู่ตอนที่ กบบางสายพันธุ์มันดันเกิดบินได้ขึ้นมา เอาล่ะคราวนี้ สุดยอดแท้ ๆ ออกแนวจะนิยาย หรือไม่ก็หนังแฟนซี แนวแอสเวนเจอของฝรั่ง กบมีปีก ตายห่าล่ะ กบยังมีปีก มันอยู่ในนิทานหรือไรนี่ หรือว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหก ความเชื่อ เหมือนกับม้าบิน แบบนั้นล่ะ เอาล่ะสิ เอ้า แต่ผมมาตั้งหัวข้อแบบนี้ผมไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับงานนี้ เรามาดูกันดีกว่า ไอ้เจ้ากบบินได้เนี้ย มันเป็นอย่างไง
สำหรับเจ้ากบบินได้ที่ว่า ัมนมีอยู่หลายสายพันธุ์ครับ เมืองไทยก็มีอยู่สายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งยังพบได้ค่อนข้างน้อย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับกบบินกันก่อนดีกว่า
กบบินได้รู้จักกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปี 1869 ในชื่อ Wellace's Flying Frog โดยชื่อ wellace มีการตั้งให้เป็นเกียรติกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ Alfred Russel Wallace ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้บรรยายลักษณะกบบินให้เป็นที่รู้จักครั้งแรก ๙งสายพันธุ์กบบินที่ได้รู้จักกันครังแรกนั้นเป็นสายพันธุ์ที่พบในประเทศมาเลเซีย และ เกาะบอรืเนียว แต่สำหรับในประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าครับ พบกบบินเช่นกัน ในแถบดอยอินทนนท์ใน ถ้างั้นเรามาทำความรู้จักกับกบบินในเมืองไทยกันบ้างครับ
กบบินได้รู้จักกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปี 1869 ในชื่อ Wellace's Flying Frog โดยชื่อ wellace มีการตั้งให้เป็นเกียรติกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ Alfred Russel Wallace ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้บรรยายลักษณะกบบินให้เป็นที่รู้จักครั้งแรก ๙งสายพันธุ์กบบินที่ได้รู้จักกันครังแรกนั้นเป็นสายพันธุ์ที่พบในประเทศมาเลเซีย และ เกาะบอรืเนียว แต่สำหรับในประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าครับ พบกบบินเช่นกัน ในแถบดอยอินทนนท์ใน ถ้างั้นเรามาทำความรู้จักกับกบบินในเมืองไทยกันบ้างครับ
กบบินไทย หรือ ปาดอินนทนนท์ เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำของไทยที่มีขนาดใหญ่ และชาวเขานิยมจับมาบริโภค
พบในเขตดอย อินทนนท์ตามชื่อมันนั่นแหละครับ ในอดีตพวกชาวบ้าน ชาวเขาจับเอามารับประทานกัน ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้างแต่ด้วยจำนวนที่น้อยลงทำให้มีการจับมารัปประทานน้อยลง ดอยอินทนนท์ที่มันอาศัยอยู่นั้นจะอาศัย อยู่ในช่วงความสูงที่ 1,300 –1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ชอบ อาศัยบนต้นไม้ สามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ จากสีเขียวที่เราเห็นโดยทั่วไปจนถึงสีน้ำตาลตามสิ่งที่มันเกาะอยู่เพื่อ อำพรางตัวมันเองจากศัตรูซึ่งก็คือมนุษย์เรานี่เอง
พบในเขตดอย อินทนนท์ตามชื่อมันนั่นแหละครับ ในอดีตพวกชาวบ้าน ชาวเขาจับเอามารับประทานกัน ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้างแต่ด้วยจำนวนที่น้อยลงทำให้มีการจับมารัปประทานน้อยลง ดอยอินทนนท์ที่มันอาศัยอยู่นั้นจะอาศัย อยู่ในช่วงความสูงที่ 1,300 –1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ชอบ อาศัยบนต้นไม้ สามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ จากสีเขียวที่เราเห็นโดยทั่วไปจนถึงสีน้ำตาลตามสิ่งที่มันเกาะอยู่เพื่อ อำพรางตัวมันเองจากศัตรูซึ่งก็คือมนุษย์เรานี่เอง
และเมื่อถึงเมื่อถึง เดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก่อนและหลังวัน ลอยกระทงไม่เกิน 7 วันจะเป็นฤดูผสมพันธุ์ กบบินจำนวนมากจะออกจากป่ามารวมกันเพื่อผสมพันธุ์วางไข่ที่แหล่งน้ำบนภูเขาปี ละ 1 ครั้ง ซึ่งเป็นที่น่าตื่นเต้นของผู้พบเห็นมาก แต่ขณะเดียวกันช่วงดังกล่าวก็เปิดโอกาสให้คนจับไปเป็นอาหารจำนวนมาก จนกลายเป็นสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ ปาดอินทนนท์จะวางไข่ที่มีลักษณะสีเหลืองอ่อนขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร บนหวอดสีขาวโดยขาดหวอดประมาณ 12 นิ้ว ซึ่งมันสามารถวางไข่ครั้งนึงได้ถึง 1,000 –2,000 ฟอง ไข่จะฟักในน้ำที่อุณหภูมิ ประมาณ 24 องศาเซลเซียส และใช้เวลา 44 ชั่วโมงจึงจะฟักเป็นตัว
ถ้าพูดถึงการบิน ถ้าดูภาพประกอบก็คงจะพอนึกออกนะครับ จะเห็นลักษณะที่ชัดเจนครับ โดยเฉพาะตรงนิ้วเท้าที่ยาว และมีพังผืดกว้างกว่ากบทั่วไปซึ่งตรงพังผืดนี้เอง ช่วยในการรับลมและพยุงตัวใน ในอากาศได้ ทำให้มันสามารถร่อนได้ไกลมากกว่า 15 เมตร ซึ่งก็พอที่จะร่อนข้ามจากต้นไม้ต้อนหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง เพราะกบพวกนี้หลังจากที่เป็นกบเต็มตัวแล้วมันจะใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เอบตลอดเวลา ตังนั้นจึงทำให้มันมีวิวัฒนาการที่ล้หน้ากว่ากบทั่วไป และมันยังมีปุ่มที่นิ้วเท้าที่ใหญ่มากกว่ากบทั่วไปทำให้นรับแรงกระแทกได้มากกว่า และก็ยังช่วยให้มีการยิดเกาะและทรงตัว รวมถึงกระโดดได้อย่างแม่นยำ